ความหมายของนิติกรรม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙ บัญญัติว่า " นิติกรรมหมายความว่าการใด ๆ อันกระทำลงชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ"[1]
ตามมาตรา ๑๔๙ สามารถแยกองค์ประกอบของนิติกรรมออกได้เป็น ๕ ประการ คือ
๑.
นิติกรรมเป็นการกระทำของบุคคลโดยการแสดงเจตนา
๒.
การกระทำนั้นต้องชอบด้วยกฎหมาย
(การกระทำที่ไม่ชอบมีบัญญัติอยู่ในมาตรา
๑๕๐ ถึง ๑๕๓)
๓.
ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
(
การกระทำต้องไม่มี
เจตาลวง เจตนาอำพราง หรือ
เจตนาซ่อนเร้น)
๔.
ต้องกระทำด้วยใจสมัคร
(ต้องไม่ใช่เกิดจากการสำคัญผิด
กลฉ้อฉล หรือข่มขู่)
๕.
ต้องมีวัตถุประสงค์
ที่จะ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน
สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ[2]
* การพิจรณาว่าเป็นนิติกรรมหรือไม่นั้น ให้นำองค์ประกอบข้อสุดท้าย เรื่องการเคลื่อนไหว แห่งสิทธิ มาพิจรณาก่อน ถ้าการกระทำไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่นิติกรรมโดยไม่ต้องพิเคราะห์ว่าเข้าองค์ประกอบข้ออื่นหรือไม่
* การพิจรณาว่าเป็นนิติกรรมหรือไม่นั้น ให้นำองค์ประกอบข้อสุดท้าย เรื่องการเคลื่อนไหว แห่งสิทธิ มาพิจรณาก่อน ถ้าการกระทำไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ การกระทำนั้นก็ไม่ใช่นิติกรรมโดยไม่ต้องพิเคราะห์ว่าเข้าองค์ประกอบข้ออื่นหรือไม่
การแสดงเจตนา
๑.
การแสดงเจตนาอาจกระทำได้
๓ วิธี
๑.๑
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
เป็นการแสดงเจตนาจะทำนิติกรรมนั้นโดยตรง
อาจจะทำด้วยวาจา เป็นลายลักษ์อักษร
หรือแสดงด้วยกิริยาอาการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้
๑.๒
การแสดงเจตนาโดยปริยาย
ไม่ใช่การแสดงเจตนาเพื่อเข้าทำนิติกรรมนั้นโดยตรง
แต่พฤติการณ์ของการกระทำเป็นที่คาดหมายได้ว่ามีเจตนาที่จะทำนิติกรรม
เช่น เจ้าหนี้ฉีกสัญญากู้ทิ้ง
การกระทำของเจ้าหนี้เป็นการแสดงเจตนาว่าปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้
๑.๓
การแสดงเจตนาโดยการนิ่ง
โดยหลักทั่วไปการนิ่งไม่ใช่การแสดงเจตนา
แต่มีบางกรณีที่กฎหมายยอมรับรองการนิ่งนั้นเป็นการเสดงเจตนา
หรือเป็นการนิ่งตามปกติประเพณีทั่วไปหรือที่ประพฤติกันระหว่างคู่สัญญาว่าการนิ่งนั้นเป็นการแสดงเจตตา
เช่น
เรื่องของการเช่าที่ครลกำหนดแล้วผู้เช่ายังครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่
โดยผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง
กฎหมายให้ถือว่ามีสัญญาเช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
๒.
ผลของการแสดงเจตนา
เจตนาที่แสดงออกมาจะเกิดผลเป็นนิติกรรมเมื่อไรนั้น
ขึ้นอยู่กับประเภทของนิติกรรมหากเป็นการการแสดงเจตนาทำนิติกรรมฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนาเมื่อแสดงเจตนาออกมาแล้ว
จะเกิดผลเป็นนิติกรรมตามกฎหมายทันที
เว้นแต่กฎหมายกำหนดแบบให้ทำตามก่อน
ส่วนการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวหรือหลายฝ่ายที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาจะมีผลเมื่อไรนั้นต้องดูว่าผู้รับการแสดงเจตนาอยู่เฉพาะหน้าหรือไม่
เพราะมีผลที่ต่างกัน
การแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า
รวมถึง การแสดงเจตนาต่อบุคคล
ที่สามารถติดต่อทำความเข้าใจได้ในทันทีทันใด
จะมีผลเมื่อผู้รับการแสดงเจตนาได้รับทราบหรือเข้าใจการแสดงเจตนา
(มาตรา๑๖๘)
ส่วนการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งห่างด้วยระยทางจะมีผลต่อเมื่อการแสดงเจตนาไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา
(มาตรา๑๖๙
วรรค๑)
ถ้าแสดงเจตนาออกไปแล้วแต่เกิดตายหรือถูกศาลสั่งให้เปนคนไร้ความสามารถ
การแสดงเจตานั้นก็ยังสมบูรณ์
(มาตรา
๑๖๙ วรรค๒)
๓.
การถอนการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งไม่อยู่เฉพาะหน้า
ถ้าผู้แสดงเจตนาที่ได้แสดงไปแล้วกลับใจ
จะถอนการแสดงเจตนา
ซึ่งตราบใดที่การแสดงเจตนายังไปไม่ถึงการแสดงนั้นก็ยังไม่เกิดผล
ถ้าต้องการจะถอนการแสดงเจตนา
กฎหมายก็เปิดโอกาสให้ถอนได้
แต่กำหนดว่าการถอนการแสดงเจตนาที่ส่งไปยังผู้ซึ่งไม่อยู่เฉพาะหน้าต้องกระทำเสียก่อนการแสดงเจตนานั้นเกิดผล
คือต้องให้ถอนการแสดงเจตนานั้นมีผลก่อนหรืออย่างช้าที่สุดพร้อมกับการแสดงเจตนา
โดยหลักการแสดงเจตาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งไม่อยู่เฉพาะหน้า
เมื่อส่งไปแล้วไม่เสียไป
แม้ผู้ส่งจะตายหรือ
ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถก็ตาม
แต่มีข้อยกเว้นในมาตรา
๓๖๐ที่คำเสนอที่ทำให้แก่บุคคลซึ่งอยู่ห่างระยะทางสิ้นผลไปอยู่
๒ กรณี คือ
๑.
ผู้รับคำเสนอนั้นจะสนองรับคำเสนอ
ได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตาย
หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถเสียแล้ว
คำเสนอนั้นจะสิ้นผลเสื่อมเสียไป
๒.
ถ้าในการทำคำเสนอ
ผู้เสนอได้แสดงเจตนาโดนตรงหรือโดยปริยาย
ให้เห็นว่าถ้าผู้เสนอตาย
แล้วหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถให้คำเสนอนั้นสิ้นผลไป
๔.
การตีความการแสดงเจตนา
การตีความการแสดงเจตนานั้น
คือการค้นหาเจตนาที่แท้จริงของผู้แสดงเจตนา
เมื่อการแสดงเจตนานั้นมีข้อความคลุมเคลือ
ไม่ชัดเจนมีข้อสงสัย
แต่ถ้าการแสดงเจตนานั้นมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องตีความ
ซึ่งการตีความการแสดงเจตนานั้น
ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้แสดงเจตนา
ยิ่งกว่าที่จะดูจากถ้องคำสำนวน
(มาตรา๑๗๑)
ซึ่งหมายความว่า
ให้พิจรณาดูจากจุดมุ่งหมายที่แท้จริงและก็ดูเหตุผลอื่นๆประกอบด้วย
โดยไม่ยึดถ้อยคำสำนวนที่เขาใช้หรือตัวอักษรที่เขาเขียนเป็นสิ่งสำคัญ
เนื่องจากทุกคนไม่ใช่นักกฎหมายจะไปหวังให้ผู้แสดงเจตนาใช้ถ้อยคำสำนวนที่กฎหมายใช้อยู่เป็นไปไม่ได้
การกระทำต้องชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีดังต่อไปนี้
๑.
การแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งด้วยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(มาตรา๑๕๐)
ซึ่งการแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยกำหนดวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้เป็น
โมฆะ
๑.๑
วัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งด้วยกฎหมาย
คือ
การกระทำหรือการแสดงเจตนาที่กฎหมายห้ามไม่ว่ามิให้กระทำหรือที่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยตรง
แต่ได้มีบัญญัติไว้ว่าการกระทำนั้นมีความผิดทางอาญา
หรือบัญญัติให้เป็นโมฆะ[3]
๑.๒ วัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ซึ่งหมายถึงการใดๆที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่สามารถกระทำได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นการมุุ่งต่สิ่งใดโดยเฉพาะแล้ว ในขณะนั้นสิ่งนั้นไม่มีแล้ว
๑.๒ วัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ซึ่งหมายถึงการใดๆที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่สามารถกระทำได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นการมุุ่งต่สิ่งใดโดยเฉพาะแล้ว ในขณะนั้นสิ่งนั้นไม่มีแล้ว
๑.๓
วัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
เป็นหลักบังคับเกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณี
ซึ่งแตกต่างกันแล้วแต่ท้องถิ่นและสมัยที่ต่างกัน
แต่ถ้าการใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย
ถ้าไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ก็ไม่ทำให้การนั้นเป็นโมฆะ
(
มาตรา
๑๕๑)
๒.
ไม่ทำตามแบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนด
(มาตรา๑๕๒)
โดยทั่วไป
เมื่อบุคคลแสดงเจตนาออกมาแล้ว
ย่อมเกิดเป็นนิติกรรมทันที
แต่ในบางกรณี คู่กรณีอาจตกลงกำหนด
วิธีแสดงเจตนา หรือแบบของนิติกรรมได้
และในบางกรณี ด้วยเหตุผลบางประการ
กฎหมายจึงกำหนดวิธีแสดงเจตนาหรือแบบของนิติกรรมบางรูปแบบไว้
แยกพิจรณาได้ดังนี้
๒.๑
แบบของนิติกรรมที่คู่กรณีแห่งนิติกรรมกำหนดขึ้น
ในการทำนิติกรรม
คู่กรณีอาจกำหนดแบบของนิติกรรม
หรือวิธีแสดงเจตนาขึ้นเองได้ เช่น กำหนดว่าต้องทำสัญญาเป็นหนังสือลงลายมือชื่ิคู่กรณีทั้งสองฝ่าย จึงจะถือว่าสัญญาเกิดขึ้น ซึ่งการทำนิติกรรมโดยไม่ทำตามแบบที่ คู่กรณีกำหนดขึ้นมีผลเพียงตามที่คู่กรณีกำหนดไว้เท่านั้น ไม่มีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ เพราะเหตุแห่งโมฆะมีแต่กฎหมายเท่านั้นที่กำหนดได้
๒.๒ แบบนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้
เหตุผลที่กฎหมายกำหนดแบบของนิติกรรม มีดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อเป็นหลักฐานที่แน่นอนสำหรับประชาชน
(๒) เพื่อเป็นหลักฐานที่แน่นอนสำหรับคู่กรณี
(๓) เพื่อให้บุคคลยับยั้งชั่งใจก่อนทำนิติกรรม
(๔) เพื่อสะดวกในการควบคุมการเก็บภาษีอากร
(๕) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะดวกในการโอนสิทธิอันเกิดแต่นิติกรรม
(๖) เพื่อประโยชน์ในการพิจรณาในการพิพากษาคดี
แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้ แยกออกได้ ๔ แบบ ดังต่อไปนี้
(๑) การส่งมอบทรัพย์
(๒) การทำเป็นหนังสือ
(๓) การจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
(๔) การทำเป็นหนังสือ และ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งถ้านิติกรรมใดที่กฎหมายกำหนดแบบไว้แล้วมิได้ทำตามแบบ จะมีผลให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะ[4]
๓. ความสามารถของบุคคล (มาตรา ๑๕๓)
การใดที่ทำแล้วไม่เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยความสามารถของบุคคลจะทำให้การนั้นเป็นโมฆียะ
บุคคลผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถ เรียกว่า ผู้ไร้ความสามารถ มี ๔ ประเภท ดังนี้
(๑) ผู้เยาว์[5]ถ้าทำการใดๆโดยปราศจากความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จะทำให้การนั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๒๒, ๒๓, ๒๔ และ ๒๕ จึงจะสามารถกระทำได้โดยปราศจากความยินยอมได้
(๒) คนไร้ความสามารถ[6]ทำนิติกรรมใดๆก็จะทำให้นิติกรรมมีผลเป็นโมฆียะ เว้นแต่ผู้อนุบาลทำแทน
(๓) คนเสมือนไร้ความสามารถ ทำการใดๆ มีผลเป็นสมบูรณ์ เว้นแต่ สิ่งที่ระบุไว้ในมาตรา ๓๔ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน ถ้าทำลงโดยไม่ได้รับความยินยอมจะทำให้ผลเป็นโมฆียะ
(๔) คนวิกลจริต ทำนิติกรรมใดๆ มีผลสมบูรณ์ เว้นแต่ขณะทำจริตวิกล และคู่สัญญารู้ว่าเป็นคนวิกลจริต ถ้าขณะทำจริตวิกล และคู่สัญญารู้ว่าเป็นคนวิกลจริต จะทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ
ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ( การกระทำต้องไม่มี เจตาลวง เจตนาอำพราง หรือ เจตนาซ่อนเร้น)
๑.เจตนาลวง (มาตรา ๑๕๕ วรรค ๑)
มาตรา ๑๕๕ วรรค ๑ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดย สุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้[7]
เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่าย คือ การที่ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสมรู้ หรือตกลงกันกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ดูเหมือนเป็นการแสดงเจตนาที่แท้จริงแล้วเป็นการลวง เจตนาแท้จริงนั้นมิได้ต้องการให้เกิดผลในกฎหมาย
ผลของการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ร่วมคิดกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แยกพิจรณาได้ ดังนี้
๑. ผลในระหว่างคู่กรณี ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ เพราะ กฎหมายเห็นว่าผู้แสดงเจตนามิ ได้มีเจตนาจะให้เกิดผลจริงๆ เพื่อบังคับกันได้ตามกฎหมาย จึงให้มีผลเป็นโมฆะ
๒. ผลเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่า แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ ในกรณีที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับการแสดงเจตนาลวงนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองบุคคลภายนอกมิให้ต้องเสียหาย กฎหมายจึงคุ้มครองบุคคลซึ่ง
(๑) กระทำการโดยสุจริต และ
(๒) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
๒.เจตนาอำพราง (มาตรา ๑๕๕ วรรค๒)
มาตรา ๑๕๕ วรรค๒ ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้น เพื่ออำพรางนิติกรรม อื่นให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพราง มาใช้บังคับ[8]
เป็นกรณีที่การแสดงเจตนาลวงสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ถูกกระทำขึ้นเพื่ออำพรางนิกรรมอื่น ซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติผลไว้ชัดแจ้ง ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียง ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ ดังนั้นถือว่านิติกรรมที่อำพราง เป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมที่ถูกอำพรางมีผลสมบูรณ์
๓.เจตนาซ่อนเร้น (มาตรา ๑๕๔)
มาตรา ๑๕๔ การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดง จะมิได้เจตนา ให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การ แสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึง เจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น[9]
เจตนาซ่อนเร้นสามารถแยกได้ออกเป็นสองตอน ดังต่อไปนี้
๑. การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนามิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ตนได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ ซึ่งเป็นการยกเว้นหลักเจตนาที่แท้จริงเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกไม่ให้ได้รับความเสียหาย เพราะถ้าหากอ้างเจตนาอันแท้จริงนั้นแล้วจะทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งไม่รู้เจตนาในใจนั้นต้องได้รับความเสียหายด้วย จึงจำเป็นที่กฎหมายต้องบัญญัติมาตรา๑๕๔ เป็นข้อยกเว้นของหลักเจตนาอันแท้จริง
ซึ่งความตั้งใจของผู้แสดงเจตนาที่จะไม่ผูกพันตามที่ตนแสดงออกมา แยกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. ตั้งใจว่าจะไม่ผูกนิติสัมพันธ์โดยประการใดเลย แต่กลับแสดงออกมาว่าจะผูกนิติสัมพันธ์
๒.ตั้งใจว่าจะผูกนิติสัมพันธ์อย่างหนึ่ง แต่กลับแสดงออกมาว่าจะผูกนิติสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่ง โดยไม่มีการสำคัญผิดแต่อย่างใด
๒. เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น
เป็นบทบัญญัติตามหลักเจตนาที่แท้จริง ทั้งนี้เนื่องจากการที่มาตรา๑๕๔ ตอนต้น บัญญัติข้อยกเว้นหลักเจตนาอันแท้จริงไว้คุ้มครองคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่ได้รู้เห็นด้วยถึงเจตนาอันแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในใจผูแสดงเจตนา ดังนั้น หากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงอันซ่อนเร้นอยู่ในใจผู้แสดงเจตนา ก็ไม่จำเป็นที่กฎหมายจะยกเว้นหลักเจตนาอันแท้จริงอีกต่อไป
ต้องกระทำด้วยใจสมัคร (ต้องไม่ใช่เกิดจากการสำคัญผิด กลฉ้อฉล หรือข่มขู่)
๑. การสำคัญผิด(มาตรา ๑๕๖, ๑๕๗)
สำคัญผิดคือ การเข้าใจความจริงไม่ถูกต้อง คือเหตุการณ์อย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าอีกอย่างหนึ่ง ตามกฎหมายสำคัญผิด มีอยู่๒ ประการ คือ
๑.๑ สำคัญผิดในสิ่งสาระสำคัญแห่งนิติกรรม (มาตรา ๑๕๖)
มาตรา ๑๕๖ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ แห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ
ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัว บุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่ง เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น
ความจริงเมื่อมีสำคัญผิดในสิ่งสาระสำคัญแห่งนิติกรรมแล้ว ควรเรียกมากกว่าว่าเป้นการกระทำโดยขาดเจตนา หาใช่การแสดงเจตนาโดยวิปริตโดยแท้ไม่ เพราะขาดเจตนาเอาเสียเลย กฎหมายจึงบัญญัติผลให้เป็นโมฆะ
ซึ่งสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ที่จะสำคัญผิดนั้น กฎหมายวางหลักอธิบายไว้ว่า สาระสำคัญแห่งนิติกรรม อย่างน้อยมีอยู่สามประการ คือ
๑. ลักษณะของนิติกรรม
๒. ทรพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
๓. บุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม
๑.๒ การสำคัญผิดในคุณสมบัติบองบุคคลหรือทรัพย์ (มาตรา๑๕๗)
มาตรา ๑๕๗ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล หรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติ ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิด ดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น[10]
มิใช่การสำคัญผิดในตัวบุคคลหรือทรัพย์ที่เป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม แต่เป็นการที่ผู้แสดงเจตนาได้มุ่งถึงตัวบุคคลและทรัพย์อย่างถูกต้องแล้ว แต่สำคัญผิดว่าคนหรือทรัพย์นั้นๆ มีคุณสมบัติไม่ตรงความจริงในกรณีเช่นนี้การกระทำไม่ได้ขาดเจตนา หากแต่ว่าบกพร่องหรือโดยวิปริตไปจึงกล่าวว่า ถ้าคุณสมบัตินั้นๆ ตามปกตินับว่าเป็นสาระสำคัญแล้ว นิติกรรมดังกล่าวเป็น โมฆียะ[11]
* บุคคลจะนำประโยชน์จากการสำคัญผิดในสาระสำคัญ หรือสำคัญผิดในคุณสมบัติ มาใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ถ้าการสำคัญผิดนั้นเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา (มาตรา ๑๕๘)
๒. กลฉ้อฉล
๒.๑ ความหมาย
กลฉ้อฉล คือการใช้อุบายหลอกลวงให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด เพื่อให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นแสดงเจตนาทำนิติกรรม
กลฉ้อฉลอาจทำขึ้นโดยการแสดงออก แต่บางกรณี กฎหมายก็ถือการนิ่งเป็นกลฉ้อฉล
๒.๑.๑ กลฉ้อฉลโดยทั่วไป
มาตรา๑๕๙ วรรค๑ และ๒ การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
๒.๒ แบบนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้
เหตุผลที่กฎหมายกำหนดแบบของนิติกรรม มีดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อเป็นหลักฐานที่แน่นอนสำหรับประชาชน
(๒) เพื่อเป็นหลักฐานที่แน่นอนสำหรับคู่กรณี
(๓) เพื่อให้บุคคลยับยั้งชั่งใจก่อนทำนิติกรรม
(๔) เพื่อสะดวกในการควบคุมการเก็บภาษีอากร
(๕) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะดวกในการโอนสิทธิอันเกิดแต่นิติกรรม
(๖) เพื่อประโยชน์ในการพิจรณาในการพิพากษาคดี
แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้ แยกออกได้ ๔ แบบ ดังต่อไปนี้
(๑) การส่งมอบทรัพย์
(๒) การทำเป็นหนังสือ
(๓) การจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
(๔) การทำเป็นหนังสือ และ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ซึ่งถ้านิติกรรมใดที่กฎหมายกำหนดแบบไว้แล้วมิได้ทำตามแบบ จะมีผลให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะ[4]
๓. ความสามารถของบุคคล (มาตรา ๑๕๓)
การใดที่ทำแล้วไม่เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยความสามารถของบุคคลจะทำให้การนั้นเป็นโมฆียะ
บุคคลผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถ เรียกว่า ผู้ไร้ความสามารถ มี ๔ ประเภท ดังนี้
(๑) ผู้เยาว์[5]ถ้าทำการใดๆโดยปราศจากความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จะทำให้การนั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๒๒, ๒๓, ๒๔ และ ๒๕ จึงจะสามารถกระทำได้โดยปราศจากความยินยอมได้
(๒) คนไร้ความสามารถ[6]ทำนิติกรรมใดๆก็จะทำให้นิติกรรมมีผลเป็นโมฆียะ เว้นแต่ผู้อนุบาลทำแทน
(๓) คนเสมือนไร้ความสามารถ ทำการใดๆ มีผลเป็นสมบูรณ์ เว้นแต่ สิ่งที่ระบุไว้ในมาตรา ๓๔ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน ถ้าทำลงโดยไม่ได้รับความยินยอมจะทำให้ผลเป็นโมฆียะ
(๔) คนวิกลจริต ทำนิติกรรมใดๆ มีผลสมบูรณ์ เว้นแต่ขณะทำจริตวิกล และคู่สัญญารู้ว่าเป็นคนวิกลจริต ถ้าขณะทำจริตวิกล และคู่สัญญารู้ว่าเป็นคนวิกลจริต จะทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ
ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ( การกระทำต้องไม่มี เจตาลวง เจตนาอำพราง หรือ เจตนาซ่อนเร้น)
๑.เจตนาลวง (มาตรา ๑๕๕ วรรค ๑)
มาตรา ๑๕๕ วรรค ๑ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดย สุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้[7]
เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่าย คือ การที่ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสมรู้ หรือตกลงกันกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ดูเหมือนเป็นการแสดงเจตนาที่แท้จริงแล้วเป็นการลวง เจตนาแท้จริงนั้นมิได้ต้องการให้เกิดผลในกฎหมาย
ผลของการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ร่วมคิดกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แยกพิจรณาได้ ดังนี้
๑. ผลในระหว่างคู่กรณี ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ เพราะ กฎหมายเห็นว่าผู้แสดงเจตนามิ ได้มีเจตนาจะให้เกิดผลจริงๆ เพื่อบังคับกันได้ตามกฎหมาย จึงให้มีผลเป็นโมฆะ
๒. ผลเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่า แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ ในกรณีที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับการแสดงเจตนาลวงนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองบุคคลภายนอกมิให้ต้องเสียหาย กฎหมายจึงคุ้มครองบุคคลซึ่ง
(๑) กระทำการโดยสุจริต และ
(๒) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
๒.เจตนาอำพราง (มาตรา ๑๕๕ วรรค๒)
มาตรา ๑๕๕ วรรค๒ ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้น เพื่ออำพรางนิติกรรม อื่นให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพราง มาใช้บังคับ[8]
เป็นกรณีที่การแสดงเจตนาลวงสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ถูกกระทำขึ้นเพื่ออำพรางนิกรรมอื่น ซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติผลไว้ชัดแจ้ง ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียง ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ ดังนั้นถือว่านิติกรรมที่อำพราง เป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมที่ถูกอำพรางมีผลสมบูรณ์
๓.เจตนาซ่อนเร้น (มาตรา ๑๕๔)
มาตรา ๑๕๔ การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดง จะมิได้เจตนา ให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การ แสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึง เจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น[9]
เจตนาซ่อนเร้นสามารถแยกได้ออกเป็นสองตอน ดังต่อไปนี้
๑. การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนามิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ตนได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ ซึ่งเป็นการยกเว้นหลักเจตนาที่แท้จริงเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกไม่ให้ได้รับความเสียหาย เพราะถ้าหากอ้างเจตนาอันแท้จริงนั้นแล้วจะทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งไม่รู้เจตนาในใจนั้นต้องได้รับความเสียหายด้วย จึงจำเป็นที่กฎหมายต้องบัญญัติมาตรา๑๕๔ เป็นข้อยกเว้นของหลักเจตนาอันแท้จริง
ซึ่งความตั้งใจของผู้แสดงเจตนาที่จะไม่ผูกพันตามที่ตนแสดงออกมา แยกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. ตั้งใจว่าจะไม่ผูกนิติสัมพันธ์โดยประการใดเลย แต่กลับแสดงออกมาว่าจะผูกนิติสัมพันธ์
๒.ตั้งใจว่าจะผูกนิติสัมพันธ์อย่างหนึ่ง แต่กลับแสดงออกมาว่าจะผูกนิติสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่ง โดยไม่มีการสำคัญผิดแต่อย่างใด
๒. เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น
เป็นบทบัญญัติตามหลักเจตนาที่แท้จริง ทั้งนี้เนื่องจากการที่มาตรา๑๕๔ ตอนต้น บัญญัติข้อยกเว้นหลักเจตนาอันแท้จริงไว้คุ้มครองคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่ได้รู้เห็นด้วยถึงเจตนาอันแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในใจผูแสดงเจตนา ดังนั้น หากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงอันซ่อนเร้นอยู่ในใจผู้แสดงเจตนา ก็ไม่จำเป็นที่กฎหมายจะยกเว้นหลักเจตนาอันแท้จริงอีกต่อไป
ต้องกระทำด้วยใจสมัคร (ต้องไม่ใช่เกิดจากการสำคัญผิด กลฉ้อฉล หรือข่มขู่)
๑. การสำคัญผิด(มาตรา ๑๕๖, ๑๕๗)
สำคัญผิดคือ การเข้าใจความจริงไม่ถูกต้อง คือเหตุการณ์อย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าอีกอย่างหนึ่ง ตามกฎหมายสำคัญผิด มีอยู่๒ ประการ คือ
๑.๑ สำคัญผิดในสิ่งสาระสำคัญแห่งนิติกรรม (มาตรา ๑๕๖)
มาตรา ๑๕๖ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ แห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ
ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัว บุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่ง เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น
ความจริงเมื่อมีสำคัญผิดในสิ่งสาระสำคัญแห่งนิติกรรมแล้ว ควรเรียกมากกว่าว่าเป้นการกระทำโดยขาดเจตนา หาใช่การแสดงเจตนาโดยวิปริตโดยแท้ไม่ เพราะขาดเจตนาเอาเสียเลย กฎหมายจึงบัญญัติผลให้เป็นโมฆะ
ซึ่งสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ที่จะสำคัญผิดนั้น กฎหมายวางหลักอธิบายไว้ว่า สาระสำคัญแห่งนิติกรรม อย่างน้อยมีอยู่สามประการ คือ
๑. ลักษณะของนิติกรรม
๒. ทรพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
๓. บุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม
๑.๒ การสำคัญผิดในคุณสมบัติบองบุคคลหรือทรัพย์ (มาตรา๑๕๗)
มาตรา ๑๕๗ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล หรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติ ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิด ดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น[10]
มิใช่การสำคัญผิดในตัวบุคคลหรือทรัพย์ที่เป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม แต่เป็นการที่ผู้แสดงเจตนาได้มุ่งถึงตัวบุคคลและทรัพย์อย่างถูกต้องแล้ว แต่สำคัญผิดว่าคนหรือทรัพย์นั้นๆ มีคุณสมบัติไม่ตรงความจริงในกรณีเช่นนี้การกระทำไม่ได้ขาดเจตนา หากแต่ว่าบกพร่องหรือโดยวิปริตไปจึงกล่าวว่า ถ้าคุณสมบัตินั้นๆ ตามปกตินับว่าเป็นสาระสำคัญแล้ว นิติกรรมดังกล่าวเป็น โมฆียะ[11]
* บุคคลจะนำประโยชน์จากการสำคัญผิดในสาระสำคัญ หรือสำคัญผิดในคุณสมบัติ มาใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ถ้าการสำคัญผิดนั้นเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา (มาตรา ๑๕๘)
๒. กลฉ้อฉล
๒.๑ ความหมาย
กลฉ้อฉล คือการใช้อุบายหลอกลวงให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด เพื่อให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นแสดงเจตนาทำนิติกรรม
กลฉ้อฉลอาจทำขึ้นโดยการแสดงออก แต่บางกรณี กฎหมายก็ถือการนิ่งเป็นกลฉ้อฉล
๒.๑.๑ กลฉ้อฉลโดยทั่วไป
มาตรา๑๕๙ วรรค๑ และ๒ การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
จากหลักกฎหมายสามารถอธิบายความหมายของกลฉ้อฉลโดยทั่วไปได้ ดังนี้
(๑) มีการใช้อุบายหลอกลวงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการแสดงข้อความให้ผิดต่อความจริง
(๒) โดยจงใจหลอกลวงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
(๓) ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะคงจะมิได้กระทำขึ้น(ถึงขนาดจูงใจคู่กรณีเข้าทำนิติกรรม)
๒.๑.๒ กลฉ้อฉลโดยการนิ่ง
มาตรา ๑๖๒ ในนิติกรรมสองฝ่าย การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสีย ไม่แจ้งข้อความจริง หรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้ การ นั้นจะเป็นกลฉ้อฉล หากพิสูจน์ได้ว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น นิติกรรมนั้น ก็คงจะมิได้กระทำขึ้น
การนิ่งเป็นกลฉ้อฉล ต้องเป็นกรณีที่ต้องตามมาตรา ๑๖๒ กล่าวคือ
(๑) นิติกรรมสองฝ่าย
(๒) คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสีย ไม่แจ้งข้อความจริง หรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้
๑. คู่กรณีฝ่ายนั้นมีหน้าที่บอกความจริง
๒. มีพฤติการณ์อันแสดงออกทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายเข้าใจผิด
(๓) ถึงขนาดว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น นิติกรรมนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น(ถึงขนาดจูงใจคู่กรณีเข้าทำนิติกรรม)
๒.๒ ผลของการแสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล
ในการพิจรณาผลของการแสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล แยกพิจรณา ดังนี้
๒.๒.๑ ผลระหว่างคู่กรณีแห่งนิติกรรม
๒.๒.๑.๑ กลฉ้อฉลที่กระทำโดยคู่กรณีฝ่ายหนึ่ง
มาตรา ๑๕๙ วรรค๑และ๒ การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
มาตรา ๑๗๕ โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(๓) บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือ ถูกข่มขู่
นิติกรรมที่เกิดจากผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีนี้กฎหมายให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ และสามารถบอกล้างได้
๒.๒.๑.๒ กลฉ้อฉลที่กระทำโดยบุคคลภายนอก
มาตรา ๑๕๙ วรรค๓ ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลโดยบุคคล ภายนอก การแสดงเจตนานั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ได้รู้ หรือควรจะได้รู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น
ตามหลักทั่วไป นิติกรรมเป็นเรื่องของการแสดงเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแห่งนิติกรรม เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก ไม่ว่าบุคคลภายนอกจะพูดอย่างไร ก็ไม่มีผลกระทบต่อนิติกรรมที่ทำขึ้น นิติกรรมยังคงสมบูรณ์ไม่เป้นโมฆียะ
เว้นแต่ ว่าคู่กรณีอีกฝ่าย (ฝ่ายที่ไม่ถูกกลฉ้อฉล) ได้รู้หรือควรจะรู้ถึงกลฉ้อฉลนั้น
๒.๒.๑.๓ กลฉ้อฉลเพียงเพื่อเหตุจูงใจให้ยอมรับข้อกำหนดที่หนักกว่าปกติ
มาตรา ๑๖๑ ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่ง ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่า สินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้
ในบางกรณีไม่มีการทำกลฉ้อฉล คู่กรณีฝ่ายหนึ่งก็จะทำนิติกรรมอยู่แล้ว หากแต่ได้มีกลฉ้อฉล ขึ้นมาจูงใจให้คู่กรณียอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมหนักกว่าปกติ ซึ่งถ้าไม่มีกลฉ้อฉลคู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อกำหนด
ผลทางกฎหมาย คือนิติกรรมนั้นไม่ถึงขั้นเป็นโมฆียะ แต่มีสิมะิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการยอมรับข้อตกลงที่หนักยิ่งกว่า
๒.๒.๑.๔ กลฉ้อฉลที่กระทำโดยคู่กรณีทั้งสองฝ่าย
มาตรา ๑๖๓ ถ้าคู่กรณีต่างได้กระทำการโดยกลฉ้อฉลด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะกล่าวอ้างกลฉ้อฉลของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อบอกล้างการนั้น หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนมิได้
ในบางกรณีที่ทำนิติกรรมกันนั้นต่างทำกลฉ้อฉลด้วยกันกฎหมายจะไม่ให้ความคุ้มครองผู้ที่ทำกลฉ้อฉลทั้งสองฝ่าย กฎหมายจึงกำหนดผลว่า คู่กรณีฝ่ายใดจะอ้างกลฉ้อฉลเพื่อบอกล้างนิติกรรมหรือเรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
๒.๒.๒ ผลเกี่ยวกับบุคคลภายนอก
มาตรา ๑๖๐ การบอกล้าง[12]กรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตาม มาตรา๑๕๙ ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการ โดยสุจริต
เพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้การทำการโดยสุจริตมิให้ต้องเสียหาย จึงมีมาตรา๑๖๐ คุ้มครองบุคคลภายนอกไว้ดังข้อความข้างต้น ซึ่งบุคคลภายนอกที่จะได้รับการคุ้มครองต้องเป็นบุคคลภายนอกที่กระทำการโดยสุจริต
๓. ข่มขู่
๓.๑ ความหมาย
การข่มขู่ในที่นี้หมายความถึง การใช้อำนาจบังคับจิตใจขอลบุคคลเพื่อให้เกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ เป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
มาตรา ๑๖๔ การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ[13]
การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูก ข่มขู่มีมูลต้องกลัวซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้ กระทำขึ้น
จะเห็นว่าเหตุให้การแสดงเจตนาเป้นโมฆียะ ต้องมีลักษณะ ดังนี้
๑. เป็นการข่มขู่ว่าจะทำให้เกิดภัย ซึ่งภัยนั้น อาจเป็นภัยแก่ตัวผู้ถูกข่มขู่หรือบุคคลในครอบครัว หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขู่ แล้วแต่กรณี
๒.ภัยที่ข่มขู่ว่าจะก่อขึ้นนั้นต้องเป็นภัยอันใกล้จะถึง คือภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นและผู้ถูกข่มขู่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงป้องกันได้
๓. ภัยที่ข่มขู่นั้นต้องร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูก ข่มขู่มีมูลต้องกลัว คือถ้าไม่ได้ข่มขู่เช่นนั้นนิติกรรมก็คงไม่เกิดขึ้น
๓.๒ กรณีที่กฎหมายถือว่าไม่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
มาตรา๑๖๕ การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่
การใดที่กระทำไปเพราะนับถือยำเกรง ไม่ถือว่าการนั้นได้กระทำ เพราะถูกข่มขู่
แยกพิจรณา ดังนี้
๑. การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม[14]
คือการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กันทั้งนี้ต้องไม่เรียกร้องเอาผลประโยชน์มากกว่าสิทธิที่ตนมีอยู่
๒.การที่ได้กระทำไปเพราะนับถือยำเกรง คือความเคารพระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่
การใดที่กระทำลงเพราะสองกรณีข้างต้น ไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพราะถูกข่มขู่
๓.๓ การข่มขู่โดยบุคคลภายนอก
มาตรา๑๖๖ การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่
การข่มขู่โดยบุคคลภายนอกทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะได้ เพราะ กฎหมายถือว่าผู้ถูกข่มขู่ได้ทำนิติกรรมเพราะสาเหตุเดียวกัน คือกลัวว่าจะได้รับภัยอย่างหนึ่งอย่างใดจากการข่มขู่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการข่มขู่จะมาจากคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกย่อมทำให้นิติกรรมโมฆียะทั้งสิ้น
Notes
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
[1] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 56.
[2] ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ คือ การเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ
[3] โมฆะ คือ การเสียเปล่ามาแต่ต้น
[4] พวงพกา บุญโสภาคย์ และ ประสาน บุญโสภาคย์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ 13 (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2551), 56.
[5] ผู้เยาว์ คือ บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
[6] คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริต ซึ่งถูกศาลสั่ง ให้ไร้ความสามารถ โดยมีผู้อนุบาลดูแล
[7] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 57.
[8] เรื่องเดียวกัน.
[9] เรื่องเดียวกัน.
[10] เรื่องเดียวกัน.
[11] โมฆียะ คือ สมบูรณ์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกบอกล้างเพื่อให้โมฆะ หรือให้สัตยาบัน เพื่อให้มีผลสมบูรณ์
[12] การบอกล้าง คือ การทำให้โมฆียะเป็นโมฆะ
[13] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 59.
[14] การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม เช่น ขู่จะใช้สิทธิทางศาล หรือ ขู่ดดยใช้สิทธิทางกฎหมาย
References
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
๓. ข่มขู่
๓.๑ ความหมาย
การข่มขู่ในที่นี้หมายความถึง การใช้อำนาจบังคับจิตใจขอลบุคคลเพื่อให้เกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ เป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
มาตรา ๑๖๔ การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ[13]
การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูก ข่มขู่มีมูลต้องกลัวซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้ กระทำขึ้น
จะเห็นว่าเหตุให้การแสดงเจตนาเป้นโมฆียะ ต้องมีลักษณะ ดังนี้
๑. เป็นการข่มขู่ว่าจะทำให้เกิดภัย ซึ่งภัยนั้น อาจเป็นภัยแก่ตัวผู้ถูกข่มขู่หรือบุคคลในครอบครัว หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขู่ แล้วแต่กรณี
๒.ภัยที่ข่มขู่ว่าจะก่อขึ้นนั้นต้องเป็นภัยอันใกล้จะถึง คือภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นและผู้ถูกข่มขู่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงป้องกันได้
๓. ภัยที่ข่มขู่นั้นต้องร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูก ข่มขู่มีมูลต้องกลัว คือถ้าไม่ได้ข่มขู่เช่นนั้นนิติกรรมก็คงไม่เกิดขึ้น
๓.๒ กรณีที่กฎหมายถือว่าไม่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
มาตรา๑๖๕ การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่
การใดที่กระทำไปเพราะนับถือยำเกรง ไม่ถือว่าการนั้นได้กระทำ เพราะถูกข่มขู่
แยกพิจรณา ดังนี้
๑. การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม[14]
คือการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กันทั้งนี้ต้องไม่เรียกร้องเอาผลประโยชน์มากกว่าสิทธิที่ตนมีอยู่
๒.การที่ได้กระทำไปเพราะนับถือยำเกรง คือความเคารพระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่
การใดที่กระทำลงเพราะสองกรณีข้างต้น ไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพราะถูกข่มขู่
๓.๓ การข่มขู่โดยบุคคลภายนอก
มาตรา๑๖๖ การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่
การข่มขู่โดยบุคคลภายนอกทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะได้ เพราะ กฎหมายถือว่าผู้ถูกข่มขู่ได้ทำนิติกรรมเพราะสาเหตุเดียวกัน คือกลัวว่าจะได้รับภัยอย่างหนึ่งอย่างใดจากการข่มขู่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการข่มขู่จะมาจากคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกย่อมทำให้นิติกรรมโมฆียะทั้งสิ้น
Notes
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
[1] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 56.
[2] ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ คือ การเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ
[3] โมฆะ คือ การเสียเปล่ามาแต่ต้น
[4] พวงพกา บุญโสภาคย์ และ ประสาน บุญโสภาคย์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ 13 (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2551), 56.
[5] ผู้เยาว์ คือ บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
[6] คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริต ซึ่งถูกศาลสั่ง ให้ไร้ความสามารถ โดยมีผู้อนุบาลดูแล
[7] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 57.
[8] เรื่องเดียวกัน.
[9] เรื่องเดียวกัน.
[10] เรื่องเดียวกัน.
[11] โมฆียะ คือ สมบูรณ์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกบอกล้างเพื่อให้โมฆะ หรือให้สัตยาบัน เพื่อให้มีผลสมบูรณ์
[12] การบอกล้าง คือ การทำให้โมฆียะเป็นโมฆะ
[13] พรชัย สุนทรพันธุ์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์, 2551), 59.
[14] การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม เช่น ขู่จะใช้สิทธิทางศาล หรือ ขู่ดดยใช้สิทธิทางกฎหมาย
References
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
- จิ๊ด เศรษฐบุตร. (พ.ศ. 2553). หลักกฎหมายแพ่งลักษณะ นิติกรรมและสัญญา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เดือนตุลา.
- พรชัย สุนทรพันธุ์. (พ.ศ.2551). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพฯ:ธนธัชการพิมพ์.
- พรรษวัฒน์ พูนทองพันธ์, ประพัฒน์พงศ์ ปรีชา และ อนุวัฒน์ บุญนันท์(พ.ศ.2554).เตรียมสอบเข้านิติศาสตร์ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน.
- พวงพกา บุญโสภาคย์ และ ประสาน บุญโสภาคย์. (พ.ศ. 2551). กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
- อัครวิทย์ สุมาวงศ์. (พ.ศ.2553). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย นิติกรรม สัญญา.พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัญฑิตยสภา.
No comments:
Post a Comment